Home » รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 สถานการณ์ที่น่าวิตก และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง

รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 สถานการณ์ที่น่าวิตก และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง

by Andrew Day
14 views

28 กรกฎาคม 2567

รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.. 2567 สะท้อนให้เห็นสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในสาขาต่างๆ ของประเทศไทยระหว่าง พ.. 2566 – 2567 ปีล่าสุด ซึ่งในหลายสาขามีความน่าวิตกเป็นพิเศษ โดยเฉพาะด้านการเกษตร พบปัญหาการปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม และสารเคมีทางการเกษตรตกค้างในดิน มีการนำเข้าปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 การชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรงถึงรุนแรงมากมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรม

ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และ ปริมาณฝน แหล่งน้ำ

ในด้านทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า พื้นที่ป่าคิดเป็นร้อยละ 31.46 ของพื้นที่ประเทศ ค่อนข้างคงที่จากปี 2565 แต่สถานการณ์ไฟป่ายังคงเป็นที่น่ากังวล สำหรับประชากรเสือโคร่งในธรรมชาติ แนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังมีภัยคุกคามสำคัญจากการซื้อขายสัตว์ป่า รวมถึงปัญหาช้างป่าออกนอกเขตอนุรักษ์ สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน ปริมาณฝนเฉลี่ยทั่วประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี และปริมาณฝนลดลง น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่กลาง ลดลง และปริมาณการใช้น้ำบาดาลเพิ่มขึ้น

2.รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 สถานการณ์ที่น่าวิตกและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ปะการังและขยะทะเล

ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงในบางพื้นที่ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พบการเกยตื้นของสัตว์ทะเลหายากรวม 761 ตัว ส่วนใหญ่เป็นเต่าทะเล ตายจากขยะทะเล ป่วยจากเครื่องมือประมง และอุบัติเหตุเรือ สำหรับขยะตกค้างในระบบนิเวศชายฝั่งทะเล อันดับหนึ่ง คือ ถุงพลาสติก หลอด และขวดเครื่องดื่มพลาสติก ปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ พบนกอพยพและนกประจำถิ่นในไทย 171 ชนิด อยู่ในสถานภาพถูกคุกคาม

มลพิษอากาศและเสียง

ในด้านมลพิษอากาศ ปี 2566 มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีค่าเฉลี่ยรายปีทั่วประเทศเกินมาตรฐาน มลพิษทางเสียงภาพรวมเกินค่ามาตรฐาน สาเหตุหลักจากการจราจรหนาแน่นในเขตเมือง แหล่งน้ำที่มีคุณภาพเสื่อมโทรมส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง คุณภาพแหล่งน้ำผิวดินโดยรวมแย่ลงเล็กน้อย ส่วนอ่าวไทยตอนในมีคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งเสื่อมโทรม

ด้านขยะมูลฝอย ปีที่ผ่านมา มีปริมาณ 26.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 4.86 ผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พบขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวประมาณ 3 ล้านตัน ของขยะที่เกิดขึ้น มีการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 ส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประชากรของกรุงเทพฯ เมืองพัทยา และเทศบาลนคร พบว่าต่ำกว่าเป้าหมายของประเทศที่กำหนดไว้ 10 ตารางเมตรต่อตน

ร่างรายงานยังฉายภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ด้านอุณหภูมิ พบว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 28.5 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าปกติ 1.2 องศาเซลเซียส มีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติ และลดลงจากปีก่อนร้อยละ 10 ส่วนภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นในไทย 73 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นแผ่นดินถล่ม

แม้ว่าสถานการณ์หลายด้านจะน่าวิตก แต่บางสาขาก็มีสถานการณ์ที่ไม่เลวร้าย เช่น การใช้พลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพดีขึ้น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงานลดลงร้อยละ 24 ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพิ่มขึ้น พบการวางไข่เต่าทะเลเพิ่มขึ้น และพบชนิดพันธุ์ใหม่ ทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ คุณภาพแหล่งน้ำผิวดินส่วนใหญ่มีคุณภาพดี คุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งส่วนใหญ่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา มูลฝอยติดเชื้อลดลง รวมถึงการนำเข้าวัตถุอันตรายจากภาคอุตสาหกรรมลดลง

3.รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 สถานการณ์ที่น่าวิตกและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง

การจัดทำรายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมระดับประเทศ

ซึ่งจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบาย แผน และมาตรการบริหารจัดการ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ จะต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ ดังนั้น สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้เปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.. 2567 ที่โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ กรุงเทพฯ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับ โดยนายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการ สผ. เป็นประธาน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ร่างรายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.. 2567 ได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ภาวะทางสังคมที่เกิดจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายของประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยกดดันที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งในทางบวกและทางลบ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ

ในส่วนท้ายของร่างรายงาน ผู้อำนวยการ TEI ได้เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เช่น การขยายการใช้ดินในพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างจากการขยายตัวของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน การใช้พลังงานทดแทนจากเซลล์แสงอาทิตย์มากขึ้น การสะสมฝุ่นละอองขนาดเล็กจากการเผาไหม้ในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตร การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำท่าที่คาดการณ์ได้ยากขึ้น ความเสี่ยงต่อการสูญเสียของปะการังและหญ้าทะเล ความสมดุลของระบบนิเวศ และการเพิ่มขึ้นของขยะในแหล่งท่องเที่ยวจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการขยะในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม

ดร.ธงชัย โรจนกนันท์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผังเมือง กล่าวถึง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมเมืองในแต่ละภูมิภาคว่าแตกต่างกันอย่างมาก ภาคเหนือเผชิญปัญหาฝุ่นพิษ ภาคใต้เสี่ยงต่อภัยพิบัติ เทศบาลกว่าพันแห่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงเชิงประชากร อีก 30% ของเมืองต่างๆ กำลังจะเสื่อมสภาพ มีการปิดตัวของธุรกิจและอาคารร้าง เมืองที่เติบโตจริงมีเพียง 10% เช่น ภูเก็ตและเชียงใหม่ ในขณะที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวสาธารณะน้อย ส่วนจังหวัดนนทบุรีสูญเสียพื้นที่สีเขียวที่ใช้รองรับน้ำอย่างมาก ราคาที่ดินในเมืองใหญ่สูงขึ้นจนต้องขยายไปยังพื้นที่สาธารณะและรุกล้ำระบบนิเวศ พื้นที่เกษตรชานเมืองซึ่งเป็นพื้นที่หน่วงน้ำถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรรในปทุมธานีและนครนายก โดยผู้ถือครองที่ดินส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนายทุน อีกประเด็นที่น่ากังวลคือพื้นที่ริมคลองในเขตปริมณฑลอาจสูญหายในอนาคต

ดร.ธงชัย ยังกล่าวถึงเมืองพัทยาว่า เทศบาลไม่รักษาพื้นที่สีเขียว เน้นการพัฒนาเพราะมูลค่าที่ดินสูง จนเกิดปัญหาน้ำท่วมเมืองพัทยา หลายเมืองในประเทศไทยกำลังจะเผชิญปัญหาน้ำท่วม เช่น นครปฐม เชียงใหม่ ชลบุรี และระยอง เนื่องจากการขยายเมืองโดยไม่คำนึงถึงสภาพภูมิประเทศ เมืองที่ขยายตัวเกินขีดจำกัดการพัฒนาจะต้องรับผลกระทบจากน้ำท่วม เมืองที่มีขนาดใหญ่จะบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมได้ยากขึ้น เช่น อุดรธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ โคราช และภูเก็ต ปัญหาประชากรแฝงในเมืองท่องเที่ยวทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยากจะแก้ไข ขยะในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าวันละหมื่นตัน มีการนำขยะไปทิ้งที่พนมสารคามและกำแพงแสน

ดร.ธงชัย ยังเตือนว่า ปัญหาของเมืองถูกกระหน่ำซ้ำด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงน้ำท่วมเมืองขั้นวิกฤต ถ้าพายุขนาดใหญ่เข้าอ่าวไทยตอนบน เขื่อนขนาดใหญ่ต้นน้ำไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมภาคกลางได้ อาจเป็นบทเรียนราคาแพงที่ผลกระทบด้านต่างๆ จะรุนแรงขึ้น เมืองจะเสียหายมากที่สุด แม้บางคนบอกว่าไม่เกี่ยวกับไทย แต่ปัญหาจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน ปัจจุบันมีไม่กี่เมืองที่กำลังขยายตัวใหญ่โต บางเมืองไม่ตายแต่ไม่เติบโต และบางเมืองกำลังจะเสื่อมสภาพ ผู้บริหารประเทศและผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีวิสัยทัศน์ในการจัดการปัญหานี้ ดร.ธงชัยย้ำว่าอย่าประมาทและอย่าท้าทายกับพลังธรรมชาติและภัยพิบัติโลกร้อน รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในหลายด้านที่แนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

แหล่งที่มา : https://www.thaipost.net/news-update/627874/

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรา

Orderbride เป็นเว็บไซต์บทความความปลอดภัยในการทำงาน ที่ช่วยเติมเต็มความรู้ด้านความปลอดภัยของคุณในทุกวัน

@2024 – All Right Reserved. Designed and Developed by Orderbride