เมื่อพูดถึงความท้าทายยิ่งใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 21 อันเป็นบทเรียนสำคัญที่นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอล “ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” ได้วิเคราะห์ไว้อย่างแหลมคมในหนังสือ “21 Lessons for the 21st Century” หนึ่งในบทเรียนที่มองข้ามไม่ได้คือ “งาน” เมื่อเธอโตขึ้น เธออาจจะไม่มีงานทำ
มนุษย์และอัตโนมัติในอนาคตของตลาดแรงงานในปี 2050
ไม่มีใครสามารถทำนายลักษณะของตลาดแรงงานในปี 2050 ได้แน่นอน แต่เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่และแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่เป็นไปได้เมื่อถึงปีนั้น สิ่งหนึ่งที่เราแน่ใจคือการเรียนรู้และความสามารถของเครื่องจักรและหุ่นยนต์จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การผลิตโยเกิร์ตไปจนถึงการสอนโยคะ ภายในเวลาหนึ่ง หรือสองทศวรรษ คนนับพันล้านอาจกลายเป็น “ส่วนเกินทางเศรษฐกิจ” สวนทางกับความเชื่อเก่าๆที่ว่า ในระยะยาวแล้ว ระบบอัตโนมัติจะยังคงสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ และสร้างความมั่งคั่งเพิ่มเติมให้มนุษย์
ในอดีตในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อเริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีความกลัวว่าระบบอัตโนมัติอาจทำให้เกิดการตกงานครั้งใหญ่ แต่ความกลัวนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะทุกงานที่เสียไปให้กับเครื่องจักรจะมีงานอย่างน้อยอีกอย่างเกิดขึ้นใหม่ทดแทนเสมอ และโดยเฉลี่ยแล้วมาตรฐานค่าครองชีพก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด กระนั้นสถานการณ์ตอนนี้อาจแตกต่างออกไป การเรียนรู้ของเครื่องจักรยุคใหม่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง
มนุษย์มีความสามารถทั้งทางกายภาพและทางความนึกคิด ในอดีต เครื่องจักรแข่งขันกับมนุษย์เรื่องความสามารถทางกายภาพแบบดิบๆ แต่ความสามารถทางความนึกคิดของมนุษย์ยังคงมีความเด่นเปรียบกว่าเครื่องจักร ดังนั้น งานที่ต้องการความสามารถทางความนึกคิด เช่น การเรียนรู้ การวิเคราะห์ การสื่อสาร และการทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก
ยุคเอไอใหม่กำลังเติบโต และพัฒนาทักษะที่เกินความสามารถของมนุษย์
ปัจจุบันการปฏิวัติทางเอไอไม่ยอมหยุดนิ่งเพียงแค่การพัฒนาความฉลาดและประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ แต่ยังเน้นการค้นพบความรู้ใหม่ๆ ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและสังคมศาสตร์อีกด้วย การเข้าใจกลไกทางชีวเคมีมากขึ้นช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยในสาขาประสาทวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมได้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะในการทำความเข้าใจว่ามนุษย์ตัดสินใจอย่างไร ซึ่งทำได้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือการเข้าใจว่าทุกการตัดสินใจของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงอิสระอันลึกลับ แต่เป็นผลมาจากการคำนวณความน่าจะเป็นต่างๆ ของเซลล์ประสาทภายในเวลาเสี้ยววินาที ที่เราเรียกว่า “สัญชาตญาณหยั่งรู้ของมนุษย์” แท้จริงแล้วเป็นแค่ “การรู้จำเรื่องรูปแบบ” (pattern recognition) หมายความว่า คนขับรถเก่งๆ นายธนาคารเก่งๆ และนักกฎหมายเก่งๆ ไม่ได้มีสัญชาตญาณราวเวทมนตร์วิเศษอะไร แค่มีความสามารถในการรับรู้เรื่องรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ พวกเขาจับสังเกตและพยายามหลีกเลี่ยงคนเดินเท้า ที่สะเพร่าเผอเรอ หลีกเลี่ยงผู้ขอกู้เงินทึ่มๆ และคนโกงไม่ซื่อสัตย์
อัลกอริทึมทางชีวเคมีของสมองมนุษย์ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบมาก ทำงานโดยอาศัยประสบการณ์จากการแก้ปัญหา ทางลัด และวงจรสมองล้าสมัย ซึ่งปรับตัวให้เข้ากับทุ่งสะวันนาในแอฟริกาแทนที่จะเป็นป่าคอนกรีต บางครั้งคนขับรถ นายธนาคาร และนักกฎหมายเก่งๆ ก็ทำผิดได้ง่ายๆ แน่นอนว่าในอนาคต เอไอจะสามารถดำเนินงานได้
ต่อไปเอไอจะทำได้ดีกว่ามนุษย์
แม้แต่ในงานที่เชื่อว่าต้องใช้สัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นการขับยานพาหนะบนถนนที่เต็มไปด้วยคนเดินเท้า การให้คนแปลกหน้ายืมเงิน และการเจรจาต่อรองทางธุรกิจที่ต้องอาศัยความสามารถในการประเมินอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง
เมื่อถึงปี 2050 อาจเกิด “ชนชั้นไร้ประโยชน์” ไม่ใช่แค่ได้งานหรือการศึกษาที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย แต่ยังขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ เพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานที่กำเนิดงานใหม่ๆ ได้ นี่เป็นผลมาจากความไม่สามารถปรับตัวรับกับการปฏิวัติในอาชีพและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ที่ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ตลอดเวลา ในระหว่างที่มนุษย์หัวใจสลายไปเพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอุดมคติเดิมๆ ทั้งๆที่พยายามทำงานหนักในอาชีพที่รักมาตลอดชีวิต อย่างไรก็ดี เอไอยังคงเป็นสิ่งที่เรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลาและอาจช่วยให้เราเข้าใจและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประเมินอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นหรือการเจรจาทางธุรกิจที่ต้องการความเข้าใจและความสามารถในการรับรู้ผู้อื่นอย่างถูกต้อง
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2741396